วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บทที่ 13 การบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์

บทที่ 13 การบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์

13.1 บทนำ

           ถึงแม้ว่าในปัจจุบันราคาของเครื่องจะลดลงมามากแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ถึงกับอยู่ในชั้นร้อยหรือหลักพันบาทเพราะยังมีราคาอยู่ในหลักหมื่นบาทดังนั้นผู้ที่ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อมาใช้งานจึงจำเป็นจะต้องดูแลรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ซื้อมาให้อยู่ในสภาพดีที่สุดนานเท่าที่จะทำได้ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายที่จะต้องเสียให้กับการซ่อมเครื่อง

13.2 สิ่งที่เป็นอันตรายต่อเครื่องคอมพิวเตอร์

           สิ่งที่ถือว่าเป็นอันตรายสามารถทำร้ายเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เสียหายก่อนถึงเวลาอันควรนั้น ได้แก่

1. ความร้อน
           ได้แก่ ความร้อนที่เกิดขึ้นภายในเครื่องคอมพพิวเตอร์เองและภายนอกเครื่องคอมพิวเตอร์ เนื่องจาก คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องใช้กระแสไฟฟ้าในการทำงาน เป็นสาเหตุให้มีกระแสไฟฟ้าที่เป็นพลังงานให้กับอุปกรณ์ภายในบางส่วนสูญเสีออกมาในรูปของ ความร้อน ซึ่งความร้อนนี้เองเป็นสาเหตุของความเสียหายกัยอุปกรณ์ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์

2. ฝุ่นผง
            อาจทำให้เกิดปัญหาหลายอย่าง เพราะฝุ่นสามารถเกาะพื้นผิวชิ้นส่วนอุปกรณ์ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น แผงวงจรภายใน เมื่อนานๆ ไปจะเคลือบหนาขึ้นและยึดติดแน่นจนทำให้เป็นฉนวนกั้นความร้อนทำให้แผงวงจรนั้นไม่สามารถระบายความร้อนได้ซึ่งเป็นผลเสียต่อ เครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง เพราะฉะนั้น ควรกำจัดฝุ่นผงภายในเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างสม่ำเสมอ ถ้าเป็นเครื่องที่ใช้ในบ้านควรทำความสะอาด อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ถ้าเป็นเครื่องที่ใช้ภายในสำนักงาน ควรทำความสะอาดทุก 6 เดือน
หรือแม้แต่พัดลมระบายความร้อน ถ้ามีฝุ่นมากๆ ก็อาจทำให้ทำงานติดขัด การระบายความร้อนทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร วิธีการแก้ปัญหานี้ คือ ถ้าเกิดเป็นห้องที่มีการติดเครื่องปรับอากาศแล้ว ต้องสำรวจว่ามีเครื่องกรองอากาศเพื่อลดผุ่งละอองในห้องแล้วหรือยัง สำหรับห้องที่ไม่ใช้ห้องปรับอากาศ อาจจะให้อุปกรณ์หรือผลิตภัณฆ์ทำความสะอาดเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น แปรง และชุดดูดฝุ่นเล็กๆ ซึ่งจะช่วยยืด อายุการทำงานของคอมพิวเตอร์ได้เลยทีเดีียว แต่ที่สำคัญไม่ควรนำเครื่องดูุดฝุ่นสำหรับใช้ในบ้านเรือนหรือในรถยนต์มาดูดฝุ่นคอมพิวเตอร์เด็ดขาด เพราะนอกจากฝุ่นแล้วชิ้นส่วนบางส่วนชิ้นบนเมนบอร์ดอาจดูดไปด้วย

3. แม่เหล็ก
           ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง แต่จะสร้างความเสียหายให้กับข้อมูลที่อยู่แผ่นดิสก์หรือแม้กระทั่งฮาร์ดิสก์ ได้ ซึ่งอาจถึงขั้นไม่ได้เลย จอภาพก็เป็นแหล่งกำเนิดแรงแม่เหล็กด้วย เช่นกัน ดังนั้น ถ้าผู้ใช้เผลอวางแผ่นดิสก์ไว้ใกล้จอภาพก็อาจทำให้ข้อมูลภาบใน ดิสก์เสียหาย ลำโพงก็เป็นแหล่งกำเนิดแม่เหล็กได้เช่นกัน รวมถึงมอเตอร์ที่ภายในเครื่องพิมพ์ก็เป็นแหล่งกำเนิดแม่เหล็กได้เช่นกัน

4. น้ำและของเหลว
            เป็นสิ่งที่มีผลกระทบต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ง่าย สาเหตุเพราะ น้ำและของเหลวจะเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ได้หลายทาง ด้วย กันทางที่ดีควรหาพลาสติกมาคลุมเครื่องไว้เมื่อไม่ใช้งาน

5. กระบวนการเกิดสนิม
            ตัวการที่ก่อให้เกิดสนิมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งภายนอกและแผงวงจรภายใน ได้แก่
- เกลือและเหงื่อ
- น้ำ
- อากาศ (ที่มีกรดซัลฟูริก กรดเกลือ หรือกรดคาร์บอนิกส์)
ปัญหาใหญ่ ก็คือ การเกิดสนิมที่อุปกรณ์ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะอาจทำให้คอมพิวเตอร์ไม่สามารถใช้งานได้หรือทำงานผิดพลาด เพราะฉะนั้น จึงควรระมัดระวังสิ่งที่จะทำให้เกิดสนิม


13.4 การใช้งาน Defrag ฮาร์ดดิสก์ เพื่อเพิ่มความเร็วให้กับการทำงานของระบบ

              การทำ Defrag ฮาร์ดดิสก์หรือ Disk Defragmenter ก็คือการทำการจัดเรียงข้อมูลของไฟล์ต่าง ๆ ที่เก็บอยู่ในฮาร์ดดิสก์ ให้มีความต่อเนื่องหรือเรียงเป็นระบบต่อ ๆ กันไป ประโยชน์ที่จะได้รับคือ ความเร็วในการอ่านข้อมูลของไฟล์นั้น จะมีการอ่านข้อมูล ได้เร็วขึ้น ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่นถ้าหากมีไฟล์ที่เก็บอยู่ในฮาร์ดดิสก์ ที่มีการเก็บข้อมูลแบบกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เมื่อต้องการอ่าน ข้อมูลของไฟล์นั้น หัวอ่านของฮาร์ดดิสก์ก็จะต้องมีการเคลื่อนย้ายไปมาเพื่อทำการอ่านข้อมูลจบครบ หากเรามีการทำ Defrag ฮาร์ดดิสก์ แล้วจะทำให้การเก็บข้อมูลจะมีความต่อเนื่องกันมากขึ้น เมื่อต้องการอ่านข้อมูลนั้น หัวอ่านของฮาร์ดดิสก์จะสามารถอ่านได้ โดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายหัวอ่านบ่อยหรือมากเกินไป จะทำให้ใช้เวลาในการอ่านได้เร็วขึ้น
ที่จริงแล้ว ยังมีโปรแกรมของบริษัทอื่น ๆ อีกหลายตัวที่สามารถทำการจัดเรียงข้อมูลให้มีความต่อเนื่องกันได้ เช่น Speeddisk ของ Norton และอื่น ๆ อีกมาก แต่ในที่นี้จะขอแนะนำหลักการของการใช้โปรแกรม Disk Defragmenter ที่มีมาให้กับ Windows



13.5 ข้อแนะนำก่อนใช้โปรแกรม Disk Defragmenter

              เพื่อให้การใช้งาน Disk Defragmenter มีประสิทธิภาพมากที่สุด ก่อนการเรียกใช้โปรแกรม Disk Defragmenter ควรจะเรียกโปรแกรม Walign ก่อนเพื่อการจัดเรียงลำดับของไฟล์ที่ใช้งานบ่อย ๆ ให้มาอยู่ในลำดับต้น ๆ ของฮาร์ดดิสก์ครับ โดยที่โปรแกรม Walign จะทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลการใช้งานไฟล์ ที่มีการเรียกใช้บ่อย ๆ ไว้ และนำมาจัดการเรียงลำดับ ให้อยู่ในส่วนแรก ๆ ของฮาร์ดดิสก์ ดังนั้นการที่เราเรียกโปรแกรม Walign ก่อนการทำ Disk Defragmenter จะเป็นการเพิ่มความเร็วของการอ่านข้อมูลได้อีกทางหนึ่ง โปรแกรม Walign จะอยู่ใน Folder C:\WINDOWS\SYSTEM\Walign.exe ครับ เปิดโดยการเข้าไปใน My Computer และเลือกไฟล์

กดดับเบิ้ลคลิกที่ไฟล์ Walign เพื่อเรียกไฟล์ Walign.exe

รูปที่ 1 การเลือกไฟล์ Walign.exe

โปรแกรมจะเริ่มต้นการ Tuning up Application เมื่อเสร็จแล้วจึงทำการ Defrag ต่อไป


รูปที่ 2 ไฟล์ Walign กำลังทำงาน

13.6 ข้อควรจำก่อนทำการ Defrag

             สิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในการทำ Disk Defrag คือต้องปิดโปรแกรมต่าง ๆ ที่ทำงานอยู่ในขณะนั้นให้หมดก่อน เช่น Screen Saver, Winamp หรือโปรแกรมอื่น ๆ ที่จะต้องทำให้มีการอ่าน-เขียน ฮาร์ดดิสก์ บ่อย ๆ เพราะว่า เมื่อใดก็ตามที่ฮาร์ดดิสก์มีการอ่าน-เขียนข้อมูล จะทำให้โปรแกรม Disk Defragment เริ่มต้นการทำ Defrag ใหม่ทุกครั้ง ทำให้การทำ Defrag ไม่ยอมเสร็จง่าย ๆ หรืออาจจะใช้วิธีเข้า Windows แบบ Safe Mode โดยการกด F8 เมื่อเปิดเครื่องเพื่อเข้าหน้าเมนู และเลือกเข้า Safe Mode แทนก็ได้



13.7 การเรียกใช้โปรแกรม Disk Defragmeter

             เรียกใช้โปรแกรม Disk Defragmenter โดยการกดเลือกที่ Start Menu เลือกที่ Programs และเลือก Accessories เลือกที่ System Tools และเลือก Disk Defragmenter ดังรูปที่ 3

เลือกที่ Disk Defragmenter เพื่อรียกใช้โปรแกรม Defrag


 รูปที่ 3 การเรียกใช้งานโปรแกรม Defrag

เลือกที่ Drive ที่ต้องการทำ Defrag และกด OK เพื่อเริ่มต้นการทำ Defrag หรืออาจจะเลือกที่ Settings... เพื่อทำการตั้งค่าต่าง ๆ ก่อนก็ได้


รูปที่ 4 แสดงไดร์ฟที่ต้องการจะทำการ Defrag

  Rearrange program files... เลือกถ้าต้องการให้มีการจัดเรียงลำดับการเก็บข้อมูลของไฟล์ Check the drive... เลือกถ้าต้องการให้มีการตรวจสอบฮาร์ดดิสก์ก่อนการทำ Defrag This time only เลือกถ้าต้องการให้การตั้งค่าข้างบน มีผลเฉพาะการเรียก Disk Defragmenter ในครั้งนี้เท่านั้น Every time I degragment... เลือกถ้าต้องการเก็บค่าที่ตั้งไว้ให้ใช้ตลอดไปโดยไม่ต้องเข้ามาเลือกใหม่เมื่อเลือกได้แล้วก็กด OK

รูปที่ 5 แสดงการตั้งค่าก่อนทำการ Defrag

เมื่อกด OK ก็จะเริ่มต้นการทำ Disk Defragment ซึ่งระยะเวลาที่ใช้ จะค่อนข้างนานมากนะครับ ประมาณ 1-4 ชม.ทีเดียว ดังนั้นก็นาน ๆ ทำสักครั้งก็พอ ไม่ต้องทำบ่อยนัก ถ้าสงสารฮาร์ดดิสก์ที่ต้องมีการทำงานที่หนัก ๆ มากครับ โดยส่วนตัวผมแนะนำว่า ถ้าไม่มีการลงโปรแกรมต่าง ๆ บ่อยนักก็ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ แต่ถ้าหากรู้สึกว่าฮาร์ดดิสก์ทำงานช้าลงไป ก็ลองทำดูสักครั้ง


รูปที่ 6 แสดงการเริ่มทำการ Defrag


     ข้อควรระวังในการทำ Defrag ฮาร์ดดิสก์
              ขณะที่กำลังทำการ Defrag หากต้องการยกเลิกการทำงาน จะต้องกดที่ Stop เท่านั้น ห้ามปิดเครื่องหรือกดปุ่ม Reset เป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ของคุณอาจจะสูญหายได้

สรุปท้ายบท

           คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ีความละเอียดอ่อนมากในการใช้งาน การบำรุงรักษาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อยู่ตลอดเวลาก็จะช่วยยืดอายุการทำงานของคอมพิวเตอร์ไปได้มาก การคิดค่าดูแลรักษาคอมพิวเตอร์จะคิดแบบคร่าวๆ ที่ 10 เปอร์เซนต์ ของราคาซื้อ เช่น ถ้าซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์มาราคา 20,000 บาท ก็จะเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลต่อปีเป็นเงิน 2,000 บาท ซึ่งในเงิน 2,000 บาท นี้ จะรวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ เกี่ยวกับซอฟต์

บทที่ 11 การติดตั้งและใช้งานโปรแกรม WinZip 8.0

บทที่ 11 การติดตั้งและใช้งานโปรแกรม WinZip 8.0

11.1  บทนำ

         วินซิปเป็นโปรแกรมอรรถประโยชน์โปรแกรมหนึ่งที่ต้องมีไว้ประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ วินซิปเป็นดปรแกรมที่ใช้สำหรับบีบอัดไฟล์หรือข้อมูลที่ต้องการทำให้มีขนาดไฟล์ที่เล็กพอที่จะทำการจัดเก็บลงในสื่อบันทึกข้อมูลที่ต้องการได้ นอกจากวินซิปแล้วยังมีโปรแกรมช่วยในการบีบอัดข้อมูลอีกหลายตัว เช่น WinRAR , ZipDisk เป็นต้น ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน
         โปรแกรมวินซิปในปัจุบัน (2548) เป็นเวอร์ชัน 9.0 ซึ่งมีลักษณะการใช้งานแทบจะไม่แตกต่างกับรุ่นก่อนหน้าเลยเรียกได้ว่าจะลงเวอร์ชันใหนก็ใช้งานได้แทบจะเหมือนกัน

11.2  การลงโปรแกรมวินซิป

         1. ดับเบิ้ลคลิกที่ตัว setup ที่มีตัวอย่างสัญลักษณ์ดังนี้




          2. คลิกปุ่ม ok เพื่อทำการติดตั้งโปรแกรม





          3. คลิก Next



         4. คลิกปุ่ม yes เพื่อยอมรับเงื่อนไขการใช้งานโปรแกรม



       
          5. คลิก next เพื่อดำเนินการต่อไป




         6.เลือกที่ปุ่ม Start with WinZip Classic  แล้วคลิกปุ่ม Next




         7. คลิกเลือก Express setup[recommended] แล้วคลิกปุ่ม Next



       8. คลิกปุ่ม Next เพื่อดำเนินการในขั้นต่อไป


         9. คลิกปุ่ม Finish เพื่อเสร็จสิ้นการติดตั้งโปรแกรม


       
          10. เลือก Never show tips at startup แล้วคลิกปุ่ม Close


         11. จะเห็นหน้าต่างของโปรแกรม WinZip ที่พร้อมใช้งาน

       


 11.3  การใช้งานโปรแกรมวินซิป

         วินซิปเป็นโปรแกรมใข้งานในการบีบอัดไฟล์หรือ ข้อมูลต่างๆ ให้เล็กลง แต่ส่วนมากวินซิปจะใช้ได้ผลดีกับข้อมูลประเภทไฟล์เอกสาร หรือไฟล์ข้อมูลต่าง ๆ แต่จะไม่ค่อยได้ผลซักเท่าไรกับไฟล์ประเภทภาพถ่ายจะบีบอัดข้อมูลได้น้อยหรือแทบจะไม่ได้เลยนั่นเอง
         ในตัวอย่างการบีบอัดนี้จะทดลองบีบอัดไฟล์เอกสารไมโครซอฟต์เวิร์ดนามสกุล .DOC

11.4  การบีบอัดไฟล์เอกสาร

         1. เปิดโปรแกรม WinZip โดยตรง




         2. เปิดโปรแกรม WinZip ในรูปแบบ Wizard



          3. เปิดโปรแกรม Window Explorer จากนั้นเลือก file หรือเลือกกลุ่ม file ที่ต้องการคลิกขวา เลือก Add to Zip



          หมายเหตุ การเลือก file มากกว่า 1 file ให้ทำโดย คลิกเลือก file แรกก่อน จากนั้นกดปุ่ม shift ค้างและเลือก file ที่ต้องการเลือก



11.5  การขยายหรือระเบิดไฟล์ที่ถูกย่อ

         1. เปิดหาไฟล์ที่เราจะระเบิด
ตามตัวอย่างนี้ ดาวน์โหลดไฟล์มาเก็บไว้ที่ My Documents จึงเปิด My Documents


         2. ดับเบิลคลิกที่ไฟล์นั้น (ไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาจาก Internet ซึ่งมีสกุล .zip)
เพื่อเปิดโปรแกรม Winzip ขึ้นมา (ดังรูป) จะเห็นไฟล์มากมายที่ถูกคลายออกมา




         3. คลิกที่ Extract


         4. ในขั้นตอนนี้ จะอธิบายตามหมายเลข 1-3 ดังนี้
                  4.1. Extract to หมายถึง โฟลเดอร์ที่จะนำไฟล์ทั้งหมดไปเก็บไว้ ในที่นี้จะเก็บไว้ที่ 123
                  4.2. All files/folders in archive ตรงนี้ให้คลิกเลือกดังรูปเพื่อเลือกเอาไฟล์ทั้งหมด
                  4.3. Extract ให้คลิกปุ่มนี้เพื่อเริ่ม Extract ไฟล์



         5. ในขั้นตอนนี้ให้รอจนกว่าจะ Extract เสร็จ



         6. เข้าไปที่ My Documents ที่ซึ่งเก็บไฟล์นี้ไว้ (เก็บไว้ที่ไหนให้เข้าไปที่นั่น) แล้วดับเบิลคลิก

         เมื่อเข้ามาในโฟลเดอร์ที่เก็บไฟล์ไว้ ก็จะเห็นไฟล์ที่ถูก Extract ออกมาทั้งหมด



11.6  การรวมไฟล์ด้วยวินซิป

         อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ว่าโปรแกรมบีบอัดไฟล์ สามารถบีบอัดหลายๆ ไฟล์ให้อยู่ในกล่องเดียวกัน เพื่อสะดวกต่อการอัพโหลด/ดาวน์โหลด หากท่านต้องการบีบหลายๆ ไฟล์รวมกัน ก็ให้ทำการคลุมไฟล์ที่ต้องการ (สามารถใช้วิธีคลิ้กเลือกไฟล์ บวกกับการกด Ctrl ค้างเอาไว้ เพื่อเลือกไฟล์อื่นๆ ในโฟล์เดอร์เดียวกัน) แล้วคลิ้กขาว WinZip --> Add to Cat.zip
ในที่นี้ ชื่อไฟล์ default ที่ได้ จะเป็นชื่อโฟลเดอร์นั้นๆ ที่เปิดใช้งานอยู่


       
         หรือจะใช้วิธีคลิ้กขวา เลือก WinZip --> Add to Zip file ... แล้วกด New เพื่อใส่ชื่อไฟล์ แล้วกด Add เพื่อสร้างไฟล์ซิป



         ไฟล์ที่ได้ในไฟล์บีบอัดนั้นๆ ก็จะเป็นไฟล์ต่างๆ ที่เลือกไว้



         หรือจะทำการบีบอัดไฟล์ทั้งโฟลเดอร์เลยก็ได้ หากไม่ต้องจำเพาะเจาะจงคัดเลือกไฟล์ใดๆ


สรุปท้ายบท

         ขนาดของไฟล์ในปัจจุบันมีขนาดที่เพิ่มขึ้นมากกว่าสมัยก่อน เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีด้านมัลติมิเดียได้ก้าวหน้าไปมาก การใช้ภาพ ใช้เสียง ในการทำงานก็ก้าวหน้าตามไปด้วย จึงทำให้ขนาดของไฟล์มีขนาดเพิ่มขึ้นนั่นเอง การใช้งานโปรแกรมวินซิปเพื่อใช้ลดขนาดของเอกสารเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากช่วยลดขนาดของไฟล์ลงไปได้อย่างมาก ทำให้ไม่สิ้นเปลืองเนื้อที่จัดเก็บ แต่ข้อเสียของโปรแกรมวินซิปคือ การลดขนาดไฟล์ชนิดภาพถ่าย ทำได้ไม่ดีนัก แทบจะไม่แตกต่างจากไฟล์ต้นฉบับเท่าใดนัก แต่ถ้าเป็นไฟล์ชนิดเอกสาร โปรแกมวินซิปสามารถลดขนาดของไฟล์ได้อย่างดีทีเดียว

บทที่ 9 การติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows XP

บทที่ 9 การติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows XP

9.1   บทนำ

          การติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows XP โดยปกติสามารถทำได้ 2 แบบคือ การติดตั้งโดดยการอัพเกรดจาก Windows ตัวเดิม หรือทำการติดตั้งใหม่ทั้งหมด สำหรับตัวอย่างในที่นี้จะขอแนะนำวิธีการ ขั้นตอนการติดตั้ง Windows XP แบบลงใหม่ทั้งหมด



9.2   วิธีการติดตั้ง Windows XP       

          สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 แบบ ดังนี้
          1. ติดตั้งแบบอัพเกรดจาก Windows ตัวเดิม โดยใส่แผ่น CD และเลือกติดตั้งจาก CD นั้นได้เลย
          2. ติดตั้งโดยการบูตเครื่องใหม่จาก CD ของ Windows XP Setup และทำการติดตั้ง
          3. ติดตั้งจากฮาร์ดดิสก์ โดยทำการ copy ไฟล์ทั้งหมดจาก CD ไปเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ ก่อนทำการติดตั้ง
          เพื่อให้ง่ยต่อการทำความเข้าใจ ในขั้นตอนการติดตั้ง Windows XP  ตรงนี้จะขอแสดงตัวอย่างการติดตั้ง โดยการบูตจากแผ่น CD ของ Windows XP Setup โดยก่อนที่จะทำการติดตั้ง ก้อให้ทำการสำรองข้อมูลต่าง ๆ ไว้ให้เรียบร้อย จัดการแบ่งพาร์ติชัน (ถ้าจำเป็น) และทำการ Format ฮาร์ดดิสก์ให้เรียบร้อยก่อน นอกจากนี้ไม่ควรลืมการเตรียม Driver ของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เป็นของ Windows XP ไว้ด้วย
          ในการแบ่งพื้นที่ฮาร์ดดิสก์แนะนำให้ทำการวางแผนประมาณขนาดพื้นที่ไว้ลาวงหน้าด้วย โดยทั่วไปก็ไม่ควรจะใช้พื้นที่น้อยกว่า 3 Gb และเนื่องจากระบบ Windows XP สามารถที่จะสร้างเมนู Multi Boot ได้ หลังจากที่ติดตั้งไปแล้ว โดยยังสามารถเลือกเมนูว่า จะเรียก Windows XP ตัวเดิมหรือจะเรียก Windows XP ก็ได้ ดังนั้น หลาย ๆ ท่านมักจะแ่งพื้นที่ไว้ลง Windows 98 ที่ Drivve C: ประมาณ 5Gb และเผื่อไว้สำหรับ Windows XP ที่ Drive D: อีกประมาณ 5Gb ที่เหลือเป็น Drive E: สำหรับเก็บข้อมูลอื่น ๆ ทั่วไป แต่ถ้าหากลงWindows เพียวแค่ตัวเดียว ก็ไม่จำเป็นต้องแบ่งเช่นนี้ก็ได้
          การตั้งค่าใน BIOS ก่อนทำการติดตั้ง Windows XP ใหม่จะต้องทำการ Disable Virus Protection  ใน BIOS ก่อน เพราะว่าเมนบอร์ดบางรุ่นจะมีการป้องกัน Virus โดยการป้องกันการเขียนทับในส่วนของ Boot Area ของฮาร์ดดิสก์ ซึ่งเท่าที่เคยเห็นมาเครื่องคอมพิวเตอร์ปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่จะให้เลือกตั้งค่านี้อยู่แล้ว ถ้าหากเครื่องของใครไม่มีก็ไม่ต้องตกใจ เพราะเมนบอร์อบางรุ่นอาจจะไม่มีก็ได้ วิธีการก็คือ
          1. เริ่มจากการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่ ขณะที่เครื่องกำลังทำ Memory Test หรือนับ RAM อยู่นั่นแหละ ด้านล่างซ้ายมือจะมีคำว่า Press DEL to enter SETUP ให้กดปุ่ม DEL บน Keyboard เพื่อเข้าสู่เมนูของ Bios Setup (แล้วแต่เมนบอร์ด ด้วยบางทีอาจจะใช้ปุ่มอื่น ๆ สำหรับการเข้า Bios Setup ก็ได้ลองดูให้ดี ๆ) จากนี้ก็แล้วแต่ว่าเครื่องของใคร จะขึ้นเมนูอย่างไร คงจะไม่เหมือนกันแต่ก็ไม่แตกต่างกันมากนัก จากนั้นให้มองหาเมนู Bios Features Setup ส่วนใหญ่จะเป็นเมนูที่สอง ใช้ปุ่มลูกศรเลื่อนแถบลงมาแล้วกด ENTER ถ้าใช่จะมีเมนูของ Virus Warning หรือ Virus Protection อะไรทำนองนี้ ถ้าหากเป็น Enable อยู่ละก็ให้เปลี่ยนเป็น Disable โดยเลื่อนแถบแสงไปที่เมนูที่เราต้องการใช้ปุ่ม PageUp หรือ PageDown สำหรับเปลี่ยนค่าให้เป็น Disable 
          2. กดปุ่ม ESC เพื่อกลับไปเมนูหลักของ Bios Setup มองหาเมนูของ SAVE TO CMOS AND EXIT หรืออะไรทำนองนี้เลื่อนแถบแสงไปเลยแล้วกด ENTER ถ้าหากเครื่องถามว่าจะ Save หรือไม่ก็ตอบ Y ได้เลย หลังจากนี้เครื่องจะทำการ Reboot ใหม่อีกครั้ง ใส่แผ่น Startup Disk ที่เราทำไว้ตามขั้นตอนแรกรอไว้ก่อนเลย



9.3   ขั้นตอนการติดตั้ง Windows XP 

          เริ่มต้น โดยการเซ็ตให้บูตเครื่องจาก CD-Rom Drive ก่อน โดยการเข้าไปปรับตั้งค่าใน bios ของเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยเลือกลำดับการบูต ให้เลือก CD-Rom Drive เป็นตัวแรกครับ (ถ้าหากเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ก็ไม่ต้องเปลี่ยนอะไร)
         ทำการปรับเครื่อง เพื่อให้บูตจาก CD-Rom ก่อน จากนั้นก็บูตเครื่องจากแผ่นซีดี Windows XP Setup โดยเมื่อบูตเครื่องมา จะมีข้อความให้กดปุ่มอะไรก็ได้ เพื่อบูตจากซีดีคะ ก็เคาะ Enter ไปทีนึงก่อน





รูปที่ 1 แสดงการตั้งค่า BIOS ให้สามารถบูตแผ่น CD-Rom ได้

         โปรแกรมจะทำการตรวจสอบและเช็คข้อมูลอยู่พักนึง รอจนขึ้นหน้าจอถัดไป





รูปที่ 2 แสดงหน้าจอการโหลดไฟล์ของการตอดตั้ง Windows XP 

         เข้ามาสู่หน้า Welcome to Setup กดปุ่ม Enter เพื่อทำการติดตั้งต่อไป




รูปที่  3 แสดงหน้าจอเมนูเลือก การลง windows XP

          หน้าของ Licensing Agreement กดปุ่ม F8 เพื่อทำการติดตั้งต่อไป





รูปที่ 4 เงื่อนไขที่ทาง Microsoft กำหนดขึ้น

         ทำการเลือก Drive ของฮาร์ดดิสก์ที่จะลง Windows XP แล้วกดปุ่ม Enter เพื่อทำการติดตั้งต่อไป





รูปที่ 5 แสดงการเลือกไฟล์ที่จะติดตั้ง Windows XP

          เลือกชนิดของระบบ FAT ที่จะใช้งานกับ Windows XP หากต้องการใช้ระบบ NTFS ก็เลือกที่ข้อบน แต่ถ้าจะใช้เป็น FAT32 หรือของเดิม ก็เลือกข้อสุดท้ายได้เลย (no changes) ถ้าไม่อยากวุ่นวาย แนะนำให้เลือก FAT32 นะคะ แล้วกดปุ่ม Enter เพื่อทำการติดตั้งต่อไป



รูปที่ 6 แสดงการเลือกชนิดของ FAT ที่จะใช้งานกับ Windows XP

        โปรแกรมจะเริ่มต้นขั้นตอนการติดตั้ง รอสักครู่





รูปที่ 7 แสดงการเริ่มติดตั้ง Windows XP

         หลังจากนั้น โปรแกรมจะทำการ Restart เครื่องใหม่อีกครั้ง (ให้ใส่แผ่นซีดีไว้ในเครื่องแบบนั้น แต่ไม่ต้องกดปุ่มใด ๆ เมื่อบูตเครื่องใหม่ ปล่อยให้โปรแกรมทำงานไปเองได้เลยค่ะ)





รูปที่ 8 แสดงการรีสตาร์ตเครื่องเพื่อเริ่มติดตั้ง

         โปรแกรมจะเริ่มต้นขั้นตอนการติดตั้งต่าง ๆ ก็รอไปเรื่อย ๆ



รูปที่ 9 แสดงการติดตั้ง Windows XP

      จะมีเมนูของการให้เลือก Regional and Language ให้กดปุ่ม Next ไปเลย ยังไม่ต้องตั้งค่าอะไรในช่วงนี้





รูปที่ 10 แสดงหน้าจอการเลือกภาษา

         ใส่ชื่อและบริษัทของผู้ใช้งาน ใส่เป็นอะไรก็ได้ แล้วกดปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป






รูปที่ 11 แสดงหน้าจอการใส่ชื่อบริษัท และผู้ใช้งาน

         ทำการใส่ Product Key (จะมีในด้านหลังของแผ่นซีดี) แล้วกดปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป





รูปที่ 12 แสดงการใส่รหัสผ่านของ Windows XP

       หน้าจอให้ใส่ Password ของ Admin ให้ปล่อยว่าง ๆ ไว้แบบนี้แล้วกดปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป





รูปที่ 13 แสดงหน้าจอการใส่รหัสผ่านของผู้ดูแลระบบ

         เลือก Time Zone ให้เป็นของไทย (GMT+07:00) Bangkok, Hanoi, Jakarta แล้วกดปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป




รูปที่ 14 แสดงการเลือกเวลา

         รอสักพัก จนกระทั่งขั้นตอนต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อย ก็พร้อมแล้วสำหรับการเข้าสู่ระบบปฏิบัติการ Windows XP ครับ จากนั้น จะมีการบูตเครื่องใหม่อีกครั้ง เพื่อเริ่มต้นการใช้งานจริง ๆ





รูปที่ 15 แสดงการเริ่มติดตั้ง Windows XP

            บูตเครื่องใหม่คราวนี้ อาจจะมีเมนูแปลก ๆ แบบนี้ เป็นการเลือกว่า เราจะบูตจากระบบ Windows ตัวเก่าหรือจาก Windows XP ครับ ก็เลือกที่ Microsoft Windows XP Professional  ถ้าของใครไม่มีเมนูนี้ก็ไม่เป็นไร




รูปที่ 16 แสดงการเลือกระบบปฏิบัติการ

         เริ่มต้นบูตเครื่อง เข้าสู่ระบบปฏิบัติการ Windows XP แล้ว





รูปที่ 17 เริ่มบูตเครื่องเข้าสู่ Windows XP




สรุปท้ายบท 


         การติดตั้งระบบปฏิบัติการไม่ว่าจะเป็นแบบใดหลักการพื้นฐานในการติดตั้งก็ยังคงมีลักษณะเหมือนเดิมหรือใกล้เคียงกัน บิลเกต ผู้เป็นเจ้าของไมโครซอฟต์ หรือคนที่รวยที่สุดในโลกเคยให้คำแนะนำว่าเราควรจะทำการลงระบบปฏิบัติการใหม่ ทุก ๆ 6 เดือน เนื่องจากว่า การทำงานของระบบปฏิบัติการจะช้าลงไปเรื่อย ๆ และการลงระบบปฏิบัติการใหม่จะทำให้เซ็กเตอร์ในฮาร์ดดิสก์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

รูปที่ 18 แสดงภาพบิลเกต



วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บทที่ 10 การติดตั้งโปรแกรมแอนตี้ไวรัส PC-Cillin 2000

บทที่ 10 การติดตั้งโปรแกรมแอนตี้ไวรัส PC-Cillin 2000

10.1 บทนำ

          โปรแกรม PC-Cillin 2000 เป็นโปรแกรมป้องกันไวรัสที่ไม่ไปโหลดการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์มากนัก ไม่ทำให้เครื่องช้าลง และการอัพเกรดข้อมูลไวรัส ทำได้ง่ายและรวดเร็วมากและที่สำคัญสามารถทำการตรวจสอบไวรัสที่มีมากับอีเมล์ได้ด้วย ในบทนี้จะมาเรียนการติดตั้งและใช้งานโปรแกรม PC-Cillin


10.2 การติดตั้งโปรแกรม PC-Cillin 


         ใส่แผ่น CD-Rom ที่มีโปรแกรม PC-Cillin แล้วดับเบิ้ลคลิกเปิดไฟล์ pcc2k.exe เพื่อเริ่มขั้นตอนการติดตั้ง





รูปที่ 1 แสดงการเริ่มติดตั้งโปรแกรม PC-Cillin

หลังจากเรียกไฟล์สำหรับทำการติดตั้งจะได้หน้าจอตามภาพ กดที่ปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป


รูปที่ 2 แสดงเงื่อนไขการใช้งานโปรแกรม


จะได้หน้าจอตามรูปภาพที่ 2 กดที่ปุ่ม Yes เพื่อทำการติดตั้งต่อไป


รูปที่ 3 

โปรแกรมจะทำการตรวจสอบว่าไม่มีไวรัสอยู่ในระบบ กด OK เพื่อทำงานต่อไป


รูปที่ 4

ตรงนี้จะเป็นส่วนของการสร้าง McAfee Emergency Disk ซึ่งถ้าเราสร้าง จะสามารถนำแผ่น Disk นี้ไปบูทเครื่องได้แบบไม่มีไวรัส ซึ่งแนะนำว่า ควรจะมีการทำแผ่นนี้ เก็บไว้ สำหรับในกรณีตอนที่เครื่องมีปัญหาจริงๆ หรือเครื่องของเพื่อนๆมีปัญหา จะได้นำแผ่นนี้ ไปแก้ไขให้กับเครื่องของเพื่อนได้ และ ทำเสร็จ ควรจะทำการ write protect แผ่นไว้ด้วย ( ทำโดย สังเกตที่แผ่น diskette จะมีปุ่มดำๆ ให้เลื่อนไปอีกข้างหนึ่ง )


หากไม่ต้องการสร้างก็กด Cancel


รูปที่ 5

กด NO เพื่อทำงานต่อไปโดยไม่ต้องการอ่านรายละเอียด

รูปที่ 6

บอกว่าไฟล์เริ่มต้น autoexec.bat ของเครื่องจะเปลี่ยนไป กด Next


รูปที่ 7

        หลังจากที่ทำการติดตั้งจนเสร็จ จะต้องทำการบูทเครื่องใหม่ก่อนนะครับจึงจะเริ่มต้นใช้งานได้ กด Finish เพื่อ Restart Computer
       หลังจากที่ได้ติดตั้ง McAfee แล้วควรจะทำการตรวจสอบด้วยนะครับว่าได้ทำการ Enable การป้องกันไว้ด้วยหรือเปล่า โดยกดที่ไอคอนของ McAfee ที่ Menu Bar ด้านล่างขวา


รูปที่ 8

ในส่วนของ System Scan Status ให้เป็น Enable หรือขึ้นแบบตามรูปครับ (อย่ากดที่ Disable)

10.3 การอัพเกรดข้อมูลไวรัสของ PC-Cillin 2000 เพื่อที่จะรู้จักกับไวรัสตัวใหม่ๆ


10.3.1 การอัพเกรดข้อมูลไวรัสแบบ Automatic

          ในที่นี้ จะขอแนะนำวิธีการ อัพเดตข้อมูลไวรัสแบบ Automatic เนื่องจากว่าเป็นวิธีการที่ง่าย และรวดเร็วครับ วิธีการเริ่มต้นจาก เปิดโปรแกรม PC-Cillin 2000 ขึ้นมาก่อน


หลังจากเปิดโปรแกรมแล้ว เลือกกดที่ปุ่ม Update และเลือกที่ Update Now


โปรแกรมจะแสดงรายการของข้อมูลไวรัสที่มีอยู่ ว่ามีการอัพเดตล่าสุดถึงรุ่นไหน ให้กดที่ปุ่ม Next เพื่อทำการตรวจสอบและอัพเดต

ในขั้นตอนนี้ หากเรายังไม่ได้ทำการ Register จะมีเมนูแบบนี้ขึ้นมาก็ให้ใส่ชื่อและอีเมล์ของท่านลงไป หรืออาจจะใส่ชื่อหลอก ๆ ไว้แบบตัวอย่างก็ได้ และกดที่ปุ่ม Register Now (ถ้าหากทำการ Register ไปแล้วจะไม่มรเมนูนี้ขึ้นมา)



          จากนั้น โปรแกรมจะทำการตรวจสอบข้อมูลของไวรัสที่มีอยู่ และข้อมูลของไวรัสบนเว็บไซต์ ว่าเป็นข้อมูลล่าสุดหรือไม่ หากไม่ใช่ล่าสุด ก็จะแสดงรายละเอียดและเริ่มต้นการดาวน์โหลดข้อมูลไวรัสตัวล่าสุด เพื่อทำการอัพเดตเอง กดที่ปุ่ม Yes เพื่อทำการอัพเดตต่อไป

          
           โปรแกรมจะเริ่มต้นการดาวน์โหลดข้อมูลไวรัสล่าสุด รอสักพักหนึ่งก่อนครับ เมื่อโปรแกรมดาวน์โหลดข้อมูลมาเรียบร้อย ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนของการ อัพเดตข้อมูล เพื่อให้โปรแกรมรู้จักกับไวรัสตัวใหม่ ๆ ได้แล้ว
          นอกจากนี้ ตัวโปรแกรม PC-Cillin 2000 ยังสามารถทำการตั้งเวลาของการ อัพเดตข้อมูลไวรัสได้ด้วย วิธีการคือ เลือกกดที่เมนู Update Later และเลือกตารางเวลาที่ต้องการให้โปรแกรม ทำการอัพเดตแบบอัตโนมัติตามต้องการ


         ตัวอย่างของหน้าจอการตั้งเวลาการอัพเดตข้อมูลไวรัสแบบ ตั้งเวลาการอัพเดตตามต้องการ

10.3.2 การอัพเกรดข้อมูลไวรัสแบบ Manual

          สำหรับการดาวน์โหลดข้อมูลไวรัส และนำมาทำการอัพเกรดแบบ Manual ก็ทำได้โดยการเข้าไปดาวน์โหลดข้อมูลไวรัสตัวใหม่ๆ ที่เว็บไซต์ http://www.antivirus.com/ จากนั้นเลือกดาวน์โหลด Scan Engine และ Pattern File ของไวรัสตัวใหม่ล่าสุดมาทำการ Unzip และนำมา Copy ทับลงไปใน Folder ของโปรแกรม PC-Cillin 2000 หรือ C:\Program Files\Trend PC-Cillin 2000 โดยทำการลงทับของเก่าได้เลย ทั้งในส่วนของ Scan Engine และ Pattern Data เมื่อทำการ Restart เครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่อีกครั้ง โปรแกรมก็จะอ่านข้อมูล และสามารถรู้จักไวรัสใหม่ๆ ได้ทันที

สรุปท้ายบท
        ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ โปรแกรมที่มีการพัฒนาขึ้นมาเพื่อหวังผลประฌโยชน์ทางใดทางหนึ่งจากบุคคลที่ติดไวรัส
        ปัจจุบันไวรัสคอมพิวเตอร์มีความรุนแรงมากกว่าแต่ก่อนมาก ซึ่งไวรัสในปัจจุบันไม่เพียงแต่จะทำลายซอฟต์แวร์เท่านั้น ยังทำลายฮาร์ดแวร์ภายในเครื่องได้อีกด้วย การอัพเกรดแอนตี้ไวรัสเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดไวรัสได้มาก เนื่องจากถึงแม้โปรแกรมแอนตร้ไวรัสจะมีความสามารถมากเพียงใดก็ไม่สามารถที่จะไล่ตามไวรัสที่เพิ่มขึ้นมาได้อย่างมากมายในแต่ละวันได้